เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ส.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราอุตส่าห์มาวัดมาวาเพื่อมาทำบุญกุศลของเรา แล้วถ้าได้ฟังธรรมๆ สัจธรรมอันนี้ เวลาพระอนาถบิณฑิกเศรษฐีจ้างลูกไปวัดๆ อนาถบิณฑิกเศรษฐีนะ เขามีศรัทธามีความเชื่อในหัวใจของเขา เพราะเขาได้สร้างอำนาจวาสนาของเขามา เขาก็มีครอบครัวของเขาเหมือนกัน เวลาเขามีครอบครัวของเขา เวลาพุทธะๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอาเงินปูซื้อเชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาฟังธรรมๆ มีดวงตาเห็นธรรม พอมีดวงตาเห็นธรรมมันมีความมีความปลื้มใจในใจของตน

แต่ลูกไง ลูกมันคัดมันค้าน ลูกมันไม่เห็นด้วยไง จ้างลูกไปวัด จ้างลูกไปวัด ไปถึงก็มาเอาตังค์ ไปถึงกลับมาก็เอาตังค์ ทีนี้พอเอาตังค์ พ่อที่ฉลาด “เออ! คราวนี้ให้ ๕ บาท ถ้าคราวต่อไปนะ ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ แล้วให้จำว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร ให้ ๑๐ บาท”

ก็ไป ได้ ๕ บาท ๕ บาท มาก็มารับ ๕ บาททุกเที่ยว ทีนี้พอไปฟังเทศน์ๆ ฟังเพื่อจะเอาตังค์ไง เห็นไหม ดูเจตนาสิ ฟังเทศน์เพื่อหวังลาภ หวังผลประโยชน์ ไม่ได้ฟังเทศน์เพื่อความเข้าใจ ฟังเทศน์เพื่อจะลดละกิเลส เลาะกิเลสในใจของตน

พอมันฟังธรรมๆ จะเอาเนื้อความ พอจะเอาเนื้อความ นั่งฟังๆ มันสะเทือนใจ เวลามันมีดวงตาเห็นธรรม มันขึ้น เพราะอะไร เรามีความอยากได้อยากดีอยากเด่น เวลาธรรมะ อยากได้อยากดีอยากเด่น อุตส่าห์มาก็เพื่อไปเอาตังค์ ๕ บาท ๕ บาท เวลาพอมาอีกทีคราวนี้ฟัง เอ๊ะ! พอฟังมันมีความเข้าใจ

ความเข้าใจนี้มันก็เป็นความสุขอันหนึ่งนะ ความเข้าใจไม่ใช่สัจธรรม สัจธรรมมันต้องมีสติปัญญาของตน ความเข้าใจ ความเข้าใจคือการยอมรับ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาๆ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากตน

ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล มันต้องเป็นดวงใจดวงนั้นเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมาจากใจดวงนั้นเอง พอเกิดจากใจดวงนั้นเอง ใจดวงนั้นเกิดสมุจเฉทปหาน มัชฌิมาปฏิปทาทำลายกิเลสในใจของตน โอ๋ย! มันซาบซึ้งนะ

กลับไปคราวนี้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีกำไว้เลย ๑๐ บาท รอให้มันมาเอา ๑๐ บาท ไม่มา ไม่มา จนเรียกมา พอเรียกมา นี่เวลาถ้ามันเป็นธรรมๆ แล้วจิตใจมันเสมอกัน จิตใจมันเข้าใจเหมือนกัน ไม่มีปัญหาเลย

กลับมาแล้วนะ โอ้โฮ! อายพ่อมาก อายแสนอาย อายมากเลย อายเพราะอะไร เพราะมันสำนึกได้ เห็นได้ รู้ได้ ได้ความเป็นจริงไง พอได้ความเป็นจริงนะ เวลารำพันขึ้นมาในใจนะ โอ้โฮ! ตั้งแต่เกิดมาตีนเท่าฝาหอย พ่อแม่เลี้ยงดูมา ให้แต่น้ำนม ให้แต่สิ่งดีๆ มา เวลาพ่อแม่ทำสิ่งใดก็ขัดก็แย้งไง เวลาไปฟังธรรมๆ จนได้เนื้อความ ได้สัจจะได้ความจริงขึ้นมา อาย อาย ไม่เอาตังค์ ตังค์ไม่เอา นี่มันเป็นเรื่องภายนอกแล้ว นี่เป็นเรื่องภายในหัวใจของเราไง

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาไปวัดไปวาเราปรารถนาแต่ความสุขนะ ความสุขของเราเป็นความสุขแบบชาวพุทธไง ชาวพุทธถ้ามันเป็นสัจจะความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของตนไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แต่เวลาคน พระสีวลีมีลาภสักการะมหาศาล ทุคตะเข็ญใจในพระพุทธศาสนาที่เป็นทุคตะเข็ญใจไม่มีเงินไม่มีทองเลยนะ ตักบาตรพระสารีบุตร ๑ ทัพพี เวลาอยากขอบวชๆ พระไม่ให้บวชเลย เพราะมันคนจน มันไม่มีจะกิน มาบวชเป็นภาระ นี่เวลาเขาโพนทะนา

ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ บอกว่าทุคตะเข็ญใจมีคุณประโยชน์กับใครบ้าง

พระสารีบุตรยกมือเลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า สารีบุตร เขามีคุณอะไรกับเธอ

เขาเคยใส่บาตรข้าพเจ้า ๑ ทัพพีครับ

ถ้าเขามีคุณกับเธอนะ เธอให้เขาบวช

พอบวชขึ้นมาแล้ว บวชแล้วสั่งสอนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์เหมือนกัน นี่ไง เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์นี่คือสัจธรรมไง

เราปรารถนาหาความสุขๆ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์ที่มันบีบคั้นในใจเรานี่ หลักเกณฑ์ในพระพุทธศาสนา เวลาสอนมันสอนลงที่นี่ไง สอนที่การไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะอะไร

เพราะมันมีทุกข์มันถึงมีความบีบคั้น มีตัณหาความทะยานอยาก มีสติปัญญาขึ้นมา พอมันแก้มันไข ตัณหาความทะยานอยากดับหมด ทำลายหมด พอทำลายหมด สิ่งต่างๆ หมด นี่คือการดับทุกข์ พอดับทุกข์ มันไม่มีเชื้อไม่มีไขแล้วมันจะเอาอะไรไปเกิด พอมันไม่เกิด มันก็ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย นี่สัจจะในพระพุทธศาสนานะ

แต่เวลาเราไปวัดไปวานะ ผลของวัฏฏะๆ คนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะได้สร้างเวรสร้างกรรมมาแตกต่างกันไป เวลาสร้างบุญสร้างกรรมมาแตกต่างกันไป ความรู้สึกนึกคิดของคนก็แตกต่างกันไป ความรับรู้ต่างๆ ความสัมผัสต่างๆ มันแตกต่างกันไป

เวลามันแตกต่างกันไป เวลาคนทุกข์คนจน เราเป็นคนทุกข์คนจน เราเป็นคนขาดแคลน ถ้าเรามีลาภมีสักการะ เราก็จะมีความสุขของเราๆ มีความสุขเพราะอะไร เพราะเขาทุกข์เขาจน เขาขัดสนของเขา ถ้ามันมีความสะดวกความสบายขึ้นมาก็เป็นความสุขของเขา

แต่เวลาคนชั้นกลาง คนชั้นกลางเขาหาอยู่หากินของเขาได้โดยธรรมชาติของเขา เขาก็ยังปากกัดตีนถีบของเขา เวล่ำเวลาของเขา ช่วงชิงเวลาของเขาไปทั้งหมดเลย

คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีเงินมีทองขึ้นมามันก็ว่ามีแต่ความสุขๆ กูก็ไม่เห็นมันมีความสุขตรงไหนเลยวะ ความสุขๆ ว่าเงินมากๆ เงินมากๆ กูก็เป็นทุกข์เป็นยากต้องรักษามันอยู่นี่

ความสุขเวลาคนปรารถนามันก็ปรารถนาไปทางโลก ปรารถนาสมมุติบัญญัติ ปรารถนาไปทั่ว แต่ถึงที่สุดแล้วมันมีอะไรเป็นจริงขึ้นมาล่ะ

เราไปวัดไปวา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมคือสัจจะความจริงนี่ไง ถ้าสัจจะความจริง มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีปัญญาของเราเองขึ้นมาใช่ไหม เราไปเกิดเป็นมนุษย์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีพของมนุษย์ เวลามนุษย์มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน ปัจจัย ๔ เราต้องแสวงหา การแสวงหาของเรา แสวงหามาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา คนที่มีอำนาจวาสนาที่ได้ทำสิ่งใดมามันก็ประสบความสำเร็จของมัน เวลามันติดขัดสิ่งใดขึ้นมา เราก็แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาของเรา

แต่ถ้ามันขัดมันสน มันขัดมันสนก็เราทำมาอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันพอใจในชีวิตของตนไง เวลาคนทุกข์คนจน สังเกตุได้ เหล้ายาปลาปิ้งเขาขายให้คนจนทั้งนั้นน่ะ คนจนเวลามันทำหน้าที่การงานขึ้นมาแล้วมันทุกข์มันยาก มันก็วิ่งเข้าหาเหล้าหาปลาของมัน เย็นขึ้นมาก็ก๊งเหล้าๆ มันทุกข์ๆ จะดับทุกข์ ยิ่งก๊งเข้าไปมันก็ยิ่งทุกข์ยิ่งลำบากยากเย็นเข้าไป เห็นไหม

แต่ถ้าคนที่มีสติปัญญาเขามีศีล ๘ ของเขา ศีล ๕ ศีล ๘ ของเขานะ ทำมาหากินขึ้นมา เราก็รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ของเราใช่ไหม มีมากมีน้อยเราก็เก็บไว้ การใช้จ่ายมันก็ใช้จ่ายโดยความจำเป็น เราไม่เห่อเหิมทะเยอทะยานขึ้นไปมันก็เหลือเก็บ ถ้ามันประหยัดมัธยัสถ์ขึ้นมาไง

มันจะประหยัดมัธยัสถ์ มันจะมีสติปัญญา มันจะรักษาทรัพย์ของมันได้ มันต้องมีสติ มันต้องมีปัญญาของมัน เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญาเกิดที่ไหนล่ะ

เกิดกฌที่เรามาวัดๆ นี่แหละ

ทำไมถึงมาวัดล่ะ

วัดหัวใจของตนไง เรามาวัดมาสร้างสติปัญญาของเราไง คนที่เขาไม่ไป อู๋ย! ไม่เอา เบื่อหน่าย ไปนอนตีแปลงก๊งดีกว่า สนุกสนานครึกครื้นของเขา

อบายมุขมันก็ไปสู่อบายภูมิ

พรหมจรรย์มันก็ไปสู่ความสะอาดผ่องใส

ถ้าความสะอาดผ่องใส แต่มันไม่เอา กิเลสมันไม่เอาหรอก กิเลสมันดิ้นมันรนของมัน เราต้องมัดมัน แล้วเราแสวงหาของเรา เราทำคุณงามความดีของเราไง

ถ้าทำความดีของเรา กรรมเป็นอจินไตยๆ อจินไตย ๔ เรื่องเวรเรื่องกรรมมันสะสมมามากมายมหาศาล

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะปรินิพพาน “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ตักน้ำให้เราเถอะ ตักน้ำให้เราเถอะ”

พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ไปเห็นน้ำที่โคเทียมเกวียนมันเพิ่งผ่านไปน่ะ ไม่อยากตักเพราะเทิดทูนบูชามาก ครั้ง ๑ ครั้ง ๒ “อานนท์ตักน้ำมาเถิด” แต่เวลาตัก ด้วยอำนาจ ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันใสเฉพาะที่ตรงตักนั้นน่ะ ตื่นเต้นน่ะ พระโสดาบันนะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นก็เป็นแล้วพระเจ้าค่ะ”

น้ำที่มันขุ่นๆ อยู่นั่นน่ะ ไม่ต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยน้ำนั้น ต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเสวยข้างหน้านู้น แต่เวลาด้วยความเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไปตักน้ำนั้น มันสะอาด มันใสเฉพาะตรงที่ตักนั่นแหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยตื่นเต้น ไม่เคยวิตกกังวล ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้หัวใจท่านหวั่นไหวหรือให้รับรู้สิ่งใดได้เลย

“มันเป็นเช่นนั้นเองแหละอานนท์”

เห็นไหม ไม่ตื่นเต้นว่า โอ้โฮ! ฉันมีบารมี ฉันเป็นคนยิ่งใหญ่ ไม่มี ไม่มี

มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราทั้งสิ้น สิ่งที่มันเป็นน้ำขุ่น น้ำขุ่นนั้นก็เพราะว่าเวลาเป็นพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เคยเป็นพ่อค้าโคต่างมาอย่างนี้เหมือนกัน เทียมเกวียนไปด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไง โคเกวียนนำหน้าไป เขาผ่านไปแล้วน้ำมันก็ขุ่นใช่ไหม เวลาโคของตนอยากกินน้ำ ก็ด้วยความนึกแบบพระอานนท์นี่ ไปกินข้างหน้าเถิด ดึงเชือกไว้ ดึงเชือกไว้ไง

นี่ไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนที่มีเวรมีกรรมมาทั้งสิ้น ถ้าเขามีเวรมีกรรมของเขามา แต่เวลามีสติปัญญาขึ้นมานะ มันก็เป็นแค่ความยึดมั่นถือมั่น เป็นแค่ความคิดในใจเท่านั้น เวลามีสติปัญญาขึ้นมา สิ่งนั้นมันผ่านไปๆ แล้วมันผ่านไปมันไม่เกิดวิกฤติของเราด้วย

ของเราดูสิ ปัญหาสังคม ปัญหาสังคมเพราะอะไร เพราะปมในชีวิตไง นี่ไง จิตวิทยาเขาถึงบอกไง อย่าให้เด็กมันมีปมของมัน ถ้ามีปมมันจะฝังใจในเด็กของมัน เราก็พยายามจะรักษา รักษาสภาพแวดล้อมขึ้นมาเพื่อให้เด็กของเราเป็นเด็กที่จิตใจสมบูรณ์ จิตใจที่ดีงาม

แต่มันมีกรรมน่ะ เรารักษาดีขนาดไหนมันก็ไม่พอใจหรอก โดยทั่วไปเขาดูแลรักษาแค่นี้ เด็กของเขาก็สมบูรณ์ของเขา เราให้มากกว่าดีกว่าทั้งหมดเลย มันยังบอกว่าพ่อแม่ไม่รัก เราให้มากกว่าด้วยนะ

ในเมื่อกรรมมันก็เป็นกรรมวันยังค่ำนั่นแหละ ถ้ากรรมมันเป็นกรรมวันยังค่ำ มันมีปมในใจ สภาวะแวดล้อมเขาถึงพยายามรักษาให้มันไม่มีปมในใจๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรม เป็นเวรเป็นกรรมนั่นน่ะมันเป็นกรรมเพราะมันติดค้างในหัวใจ แต่ถ้าเรามาวัดมาวา เรามาศึกษาของเรา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้าเรามีจริตนิสัยอย่างไรที่มันไม่เป็นสิ่งที่เป็นคุณกับเรา เป็นคุณกับเรานะ

กิเลสเบียดเบียนตนแล้วไปเบียดเบียนผู้อื่น กิเลสมันไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่นก่อนหรอก มันต้องเบียดเบียนตน เบียดเบียนตนแล้วตนนั้นเป็นคนกระทำ มันถึงกระทบกระเทือนคนอื่น สิ่งที่ทำ ทำจากสิ่งที่มันบีบคั้นในใจ มันถึงทำ พอทำแล้วมันก็กระเทือนคนอื่นใช่ไหม เบียดเบียนตนแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น

แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ เราหลีกเราเร้นกันน่ะ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ การหลีกให้ทางกันก็เป็นบุญนะ

เดินสวนกัน รถจะยิงกันตาย ปาดกันไปปาดกันมาน่ะ เราให้ทางเขา เราให้ทางเขาก็เป็นบุญกุศลแล้ว แต่กิเลสมันไม่ยอม เราให้ไม่ได้ แต่ถ้าคนที่เขาเป็นธรรมๆ นะ เขาให้เลย เชิญตามสบาย เดี๋ยวมันไปคว่ำอยู่ข้างหน้านู่นน่ะ มันเบียดเรามันก็ไปเบียดคนอื่นต่อไปน่ะ

นี่ไง สิ่งที่ว่าแม้แต่แค่หลีกทางให้กัน นี่ไง นี่เพื่ออะไร ไปวัดไปวาเราไปเพื่อเสียสละใช่ไหม เสียสละความสุข เสียสละวัตถุทานของเราเพื่อประโยชน์ๆ ถ้ามันเป็นเพื่อประโยชน์ นี่ไง มันไม่เบียดเบียนตนไง กิเลสมันไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตนมันก็ทำคุณงามความดีของมันไง ถ้าเราฝึกฝนๆ ฝึกฝนตรงนี้ไง ถ้าฝึกฝนตรงนี้ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงที่ไหน เป็นความจริงในใจ เป็นความจริงถ้ามันมีสติมีปัญญา

สติปัญญานี้สำคัญมากนะ สติปัญญาตั้งแต่เล็กน้อย ตั้งแต่พยายามจะพาให้เราหลบหลีกกับกระแสสังคมกระแสโลก

เราเกิดมากับโลกนะ โลกนี้เขาต้องมีการตลาด เขาวิจัยตลาดเพื่อความประสบความสำเร็จของเขา ไอ้นั่นเป็นหน้าที่การงาน แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ นี่คืองานของเราไง แต่งานในชีวิตล่ะ ชีวิตที่เป็นความเป็นทุกข์เป็นสุขอยู่นี่ล่ะ เราถึงเจียดเวลากันมาไง

เวลาคนที่ไปวัดๆ เขาบอกคนที่มีปัญหา

เออ! มีสิวะ มีเพราะกูมีสติปัญญา ไอ้คนที่ไม่มีปัญหาๆ นะ อมทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าคนมันเป็นธรรมๆ สิ่งที่เป็นธรรมนะ รู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ คนที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์แต่เวลาเขาเสียสละให้คนอื่นเขาไม่ประหยัดไม่มัธยัสถ์นะ เพราะคน จากมือของเราไปสู่มือของเขา คนทุกข์ คนจน คนยากไร้ ถ้ามันเป็นความจริงเราควรเกื้อหนุนดูแล ถ้าดูแลมันเป็นบุญกุศลของเรา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ใจของคนที่มันทุกข์มันยาก แล้วได้รับการดูแลรักษาจากใจดวงหนึ่ง ถ้าเขาเป็นธรรมนะ เขาจะมีสติมีสัมปชัญญะเพื่อทำความดีต่อเนื่องไป

เราต้องการตรงนั้น เราต้องการคนดีและทำความดีต่อเนื่องไป เพราะเราเสียสละให้เขาไป เราไม่ต้องการรับคืนหรอก เพราะอะไร เพราะจิตใจเราสูงส่ง เรามีของเรา เราถึงเสียสละของเราไป แล้วเราเสียสละของเราไปแล้วเราจะหวังผลตอบแทนจากเขาอีกหรือ ไม่ใช่ แต่ถ้าเขาได้สิ่งนั้นไปแล้ว ถ้าเขามีสติปัญญา เขาได้มีจิตใต้สำนึกของเขา เขาช่วยเหลือตัวเขาได้ เขาจะดูแลคนอื่นต่อไปๆ เห็นไหม

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงหนึ่งแสวงหาเพื่อประโยชน์เพื่อสังคม ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา จากใจของเรา แล้วเราปรารถนาอย่างนั้น เราปรารถนาสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุขไง

ถ้าในหมู่บ้านของเรามีแต่คนดีๆ โอ๋ย! เรานอนสบาย นอนหลับสบาย ถ้าในหมู่บ้านของเรามีแต่โจรมีแต่ภัย เรานอนสะดุ้งทุกคืนเลย แล้วสังคมที่มันดีขึ้น สังคมที่ดีขึ้นมันเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับเรานะ เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น เห็นไหม ถ้ามันไม่เบียดเบียนตน ตนนี้เป็นประโยชน์แล้วมันเป็นประโยชน์ต่อเนื่องๆ กันไป ถ้าต่อเนื่อง นี่ผลของวัฏฏะนะ

แล้วจะวิวัฏฏะล่ะ

วิวัฏฏะ สิ่งที่เราทำแล้วเราก็ทำแล้ว ถ้าทำแล้ว สิ่งที่ทำแล้ววาง แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เป็นอื่นไปไม่ได้ มันต้องเริ่มต้นจากหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งที่เราเสียสละเป็นวัตถุทาน เป็นวัตถุที่เราเสียสละไป แต่หัวใจของเรา อารมณ์ความรู้สึก ถ้าจิตมันมีสติปัญญามันใคร่ครวญ มันรักษามันได้ มันก็ตั้งสติของมันได้ พอตั้งสติขึ้นมาได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามานะ สุขไม่ต้องไปหาที่ไหน

ในสามแดนโลกธาตุที่เขาไปทัศนศึกษา เขาไปเที่ยวกันน่ะ เขาไปเที่ยวกัน เขาไปดูประเทศต่างๆ เขาไปเติมไฟในใจเพื่อให้เห็นตลาด เห็นสังคม เพื่อจะได้คิดงานของเขาได้มากขึ้น นี้เป็นสังคมโลก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ เวลาจิตมันสงบเข้ามา สงบที่นี่ เรานะ

ถ้ามีความสุขในหัวใจ ความสุขที่ดี เราอยู่บ้านเรา เราก็มีความสุข เราอยู่บ้านเรานะ เรามีหน้าที่รับผิดชอบ

คนเราเกิดมามันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไหนมีการเกิด มันต้องมีการชรามีการคร่ำคร่า แล้วต้องมีการดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเป็นธรรมดานะ เราไม่ไปตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนั้น ถ้าไม่ตื่นเต้น เรามีสติปัญญาเท่าทันหัวใจของเรา ความสุขมันหาได้ที่นี่ไง ความสุขมันหาได้ที่เรานั่งลง แล้วมีสติปัญญาดูแลจิตใจของเรา จิตใจของเรานะ เวลาสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบไม่มีมันจบสิ้นที่นี่ไง

แต่ถ้าเขาเที่ยวรอบโลก เที่ยวจักรวาล อันนั้นมันไปเติมสมอง ไปเติมไฟเพื่อให้คิดอีก มันไปจุดไฟ เห็นไหม สุขหรือทุกข์ล่ะ แต่ของเรานะ เราสงบระงับ ถ้าเป็นความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วเวลาตรัสรู้เองโดยชอบมันต้องมีพื้นฐานมา อย่างพวกเรานี่ พวกเราทำบุญกุศลจะสร้างคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน จริตนิสัยมันต่างกัน พระโพธิสัตว์ที่มีอำนาจวาสนามากกว่าก็มีบารมีมากกว่าพระโพธิสัตว์ที่มีอำนาจวาสนาน้อย พระโพธิสัตว์ที่สร้างมากี่แสนกัปๆ แล้วพระโพธิสัตว์ที่สร้างมามากกว่า อำนาจวาสนาของเขามากกว่า มันจะไปแข่งขันที่ไหน เพราะอะไร เพราะเราเริ่มต้นมาจากเด็ก จากผู้ใหญ่ จากชราคร่ำคร่า

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทำดีมามากน้อยขนาดไหน ทีนี้ความรู้สึกนึกคิดของคนมันจะเหมือนกันมันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้นะ แต่เรามีสติปัญญาเพื่อหัวใจของเราๆ ไง

ถ้าจิตดวงใดไม่มีมรรค จิตดวงนั้นไม่มีผล จิตดวงใดไม่มีสติปัญญา มันรักษาจิตของมันไม่ได้ กระแสสังคมๆ เห็นไหม เวลาผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ไปที่นู่นดีกว่า ไปที่นี่ดีกว่า

ไปเถอะ ไปรอบโลก ไปเลย ยิ่งไปมันยิ่งเติมไฟ

แต่ถ้ามันดับ มันดับที่นี่ไง มันจะไปไหน

ดูสิ เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น อยากจะไปวิเวกๆ หลวงปู่มั่นท่านไม่ให้ไปๆ เวลาจิตมันสงบลงมันสว่างโพลงหมด

“จะไปไหน” หลวงปู่มั่นถามเลย “จะไปไหน จะไปไหน”

เวลาจะไปมันอยากไปทั้งนั้นน่ะ มันอยากทั้งสิ้น แต่มันไม่อยากดูแลมันเอง มันไม่อยากค้นคว้ามันเอง มันไม่อยากทำงานในตัวของมันเอง แต่มันทำงานในตัวของมันเองได้นะ มันต้องทำงานในตัวของมันเอง พอทำงานในตัวของมันเอง นี่ไง ในหัวใจๆ

ที่เรามาวัดมาวามันก็เรื่องการเสริมสร้างบารมีของเราเพื่อสติปัญญาของเรา แต่ถ้าจริงๆ แล้วทุกคนต้องเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ทุกคนต้องรื้นค้นขึ้นมาจากหัวใจของตน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามรรคเอาผลให้ใครไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำถนนหนทางไว้ให้พวกเราก้าวเดินไปต่างหาก เวลาก้าวเดินไปถึงที่สุดแล้ว ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่

ถ้าพระพุทธศาสนาสอนที่นี่ แต่มันเป็นนามธรรมที่จับต้องได้ยาก จนภิกษุหัวโล้นๆ มันเอามาปลิ้นปล้อนเป็นสินค้าได้แล้วกันแหละ แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ มันจะย้อนเข้ามาภายใน

สร้างเวรสร้างกรรมต่อเนื่องไปใช่ไหม ที่เกิดก็เกิดเพราะกรรมทั้งสิ้น แล้วกรรมดีหรือกรรมชั่ว แล้วถ้ากรรมดีแล้ว สังคมไม่เห็นด้วยหรอก กรรมดีของเรา ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหวไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

คนที่ทุกข์ที่ยากกันอยู่นี้เพราะทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี อยากให้คนอื่นเขาเห็นความดีของเรา

อีกร้อยชาติ ไม่มีใครเขาเห็นหรอก เพราะกิเลสมันเอารัดเอาเปรียบ ไม่ให้ใครดีกว่าใครหรอก แต่เราทำของเรา เราทำของเรา ทำดีทิ้งเหว กูไม่ได้ทำเพื่อมึง กูไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น กูทำของกู ทำของเราไป ทำของเราไป ทำของเราไปเรื่อย เรื่องของเรา ไอ้นั่นเรื่องของเขา

หลวงตาสอน ใครจะดีใครจะชั่วมันเรื่องของเขาว่ะ กูจะทำความดี ใครจะดีจะชั่วมันเรื่องของมัน เราจะทำความดี เอวัง